บ้านห้วยกุ๊บกั๊บ คือที่ไหน..?

Last updated: 25 มิ.ย. 2566  |  183 จำนวนผู้เข้าชม  | 

บ้านห้วยกุ๊บกั๊บ คือที่ไหน..?

บ้านห้วยกุ๊บกั๊บ

     คำว่า “ห้วยกุ๊บกั๊บ” เกิดจากในสมัยก่อนหมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ที่ลำธารท้ายหมู่บ้าน และเส้นทางเข้าหมู่บ้านค่อนข้างลำบาก เรียกได้ ว่าเดินไม่ไหวรถไม่ถึงเลยครับ การสัญจรในตอนนั้นจึงใช้การขี่ม้าเป็นหลัก และเสียงฝีเท้าของม้าที่กระทบกันดัง “กุ๊บกั๊บ กุ๊บกั๊บ” นี้เอง จึงกลายมาเป็นชื่อเรียกของหมู่บ้านไปโดยปริยายครับ

บ้านห้วยกุ๊บกั๊บ แม่แตง ,เชียงใหม่

ติดตามการเดินทางของ JourneyMan ได้ที่
IG:Journeyman.fun
www.instagram.com/journeyman.fun
.
#JourneyMan กาแฟที่ "ใช่" ในเวลาที่ "ชอบ"
 
 
 
 
     หากไม่มีรถส่วนตัวสามารถขึ้นรถที่ขนส่งช้างเผือกได้ครับแล้วขึ้นรถเมล์สีส้ม เชียงใหม-่ ฝาง บอกพนักงานบนรถว่า ลงปากทางแม่ตะมาน ให้แจ้งโฮมสเตย์ก่อนนะครับเพราะจะมีแค่รถของโฮมสเตย์ที่สามารถไปรับได้ซึ่งทางโฮมสเตย์จะบวกค่าใช้จ่าย เพิ่มเติมอีกเนื่องจากต้องเดินทางต่ออีก 45 กิโลเมตร
 
 
     ชาวบ้านยังคงดำรงวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ซึ่งนอกจากจะเปิดกิจการโฮมสเตย์ที่เกิด จากน้ำพักน้ำแรงและการจัดสรรต่างๆ ที่ทำร่วมกันภายในครอบครัว โดยปราศจากนายทุนแล้ว อาชีพหลักที่ยังทำกันอยู่คือการทำไร่ข้าวและปลูกผักครับ ผมเดินทางด้วยรถส่วนตัวจากตัวเมืองเชียงใหม่ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครับ โดยปักมุดมาที่ “ลานจอดรถ ช้างยิ้ม” เพื่อฝากรถ (ค่าจอดรถยนต์คันละ 50 บาท มอไซค์คันละ 30 บาท) หากนำรถส่วนตัวมาทางโฮมสเตย์จะแนะนำให้จอดไว้ที่นี่ ครับ
 
      เนื่องจากทางขึ้นไปบ้านห้วยกุ๊บกั๊บเป็นทางดินแดงลาดชัน หรือทาง off-road ยาว 4 กิโลเมตรซึ่งเป็นทางที่ขึ้นค่อนข้างลำบาก 
 
ภาพตรงทางเข้าหมู่บ้านครับ off-road สมชื่อ
 
ทางขึ้น ไปยังหมู่บ้าน เป็นแบบนี้ตลอด 4 กิโลครับ
 
 
     ในหมู่บ้านมีโฮมสเตย์มากหน้าหลายตาให้เราได้เลือกพักครับ ซึ่งมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ สามารถของเห็นวิวภูเขาสลับซับซ้อน และทะเลหมอกได้อย่างชัดเจนจากหน้าบ้านครับ ในทริปนี้เราพักกันที่ Anarahoo(อานาลาหู่) ม่อนกุ๊บกั๊บ ครับ เป็นโฮมสเตย์ที่ อยู่ถัดขึ้นไปสูงกว่าโฮมสเตย์อื่นๆ ซึ่งใช้เวลาจากลานจอดรถขึ้นไปประมาณ 40 นาที –1 ชั่วโมงครับ เจ้าของโฮมสเตย์บอกกับ ผมว่า อานา เป็นชื่อของลูกสาว ซึ่งแปลว่าเด็กผู้หญิง ส่วนค าว่า ลาหู่ มาจากเผ่าลาหู่
 
 
น้องอานา
 
 
     ผมเดินทางถึงที่พักประมาณ 4 โมงครับ บ้านพักที่ผมเลือกเป็นแบบบ้านเดี่ยวสำหรับ 2 ท่าน มีระเบียงไว้นั่งดื่มด่ำบรรยากาศ และทานอาหารที่สุดแสนจะคลาสสิก ต้องบอกก่อนว่าที่ Anarahoo ม่อนกุ๊บกั๊บ นอกจากบ้านหลังเดี่ยวแล้ว เขายังมีบ้านพัก แบบหลังใหญ่เหมาะสำหรับครอบครัว และมีลานกางเต็นท์ด้วยครับ สามารถนำเต็นท์มากางเองหรือถ้าเพื่อนๆ ไม่มีที่พักก็มี เต้นท์ไว้บริการครับ ** โฮมสเตย์ใช้ไฟฟ้าจากแผงโซลาเซลล์นะครับ จึงมีไฟฟ้าให้ใช้ในช่วงบ่ายถึงเช้าเท่านั้น ส่วนตรงตัวบ้านพักไม่มีปลั๊กไฟและหลอดไฟครับ ทางโฮมสเตย์จะมีไฟแคมป์ ให้ ซึ่งเราสามารถเตรียมมาเองก็ได้นะครับ สัญญาณโทรศัพท์มีเป็นบางจุด ผมใช้ เครือค่าย AIS สัญญาณดีใช้ได้ครับ ** เมื่อเก็บของและจัดแจงที่หลับที่นอนเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาอาหารเย็นพอดีครับ ผมนั่งทานตรงระเบียงหน้าบ้านซึ่งมองเห็นวิว ภูเขาสลับซับซ้อนสวยงามมากๆ เรียกได้ว่าอิ่มท้องและอิ่มใจไปพร้อมๆ กันเลยครับ ในเรื่องของอาหารนั้น ทางโฮมสเตย์จะมีให้ ในช่วงเช้าและเย็น เป็นกับข้าวท้องถิ่นที่รสชาติอร่อยและทานง่าย แต่มาเที่ยวบนดอยอากาศหนาวๆ ทั้งทีผมสารภาพเลยครับ ว่า ไม่พ้นเมนูในดวงใจอย่างหมูกะทะ ซึ่งทางที่พักก็มีบริการหรือสะดวกพกวัตถุดิบมาเอง แล้วเช่าเตาของที่พักก็ได้เช่นกันครับ บรรยากาศยามค่ำคืนเงียบสงบมาก ลมหนาวพัดผ่านตัวพอให้ได้สัมผัส และดาวบนท้องฟ้าที่คนเมืองอย่างผมไม่ค่อยได้เห็น เท่าไหร่นัก ถือว่าเป็นยาที่ทำให้คลายเหนื่อยจากการเดินทางเมื่อ 3ชั่วโมงก่อนอย่างดีครับ
 
 
     อรุณสวัสดิ์ครับ ผมตื่นประมาณตี5 เพื่อรอชมทะเลหมอก พอลุกจากที่นอนก็ก้าวขาออกมานั่งรอทะเลหมอกที่ระเบียงหน้าบ้าน ทันที ท้องฟ้าตอนนี้ยังไม่สว่างมากครับ แต่เริ่มมองเห็นทะเลหมอกเป็นรูปเป็นร่างบ้างแล้ว และเมื่อทะเลหมอกขาวทอดยาว เหมือนกับเป็นที่นอนนุ่มๆ ปรากฏขึ้น ผมก็ไปรวมตัวอยู่โซนส่วนกลางของโฮมสเตย์ที่เป็นลานไม้ไผ่ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นจุดรวมตัว
 
 
     สำหรับชมทะเลหมอกและรับประทานอาหารเช้าครับ อาหารเช้าเป็นข้าวต้มร้อนๆ เหมาะกับอากาศในเช้าตอนเช้ามากครับ ได้ ทานข้าวเช้าพร้อมกับ background ทะเลหมอกที่ก าลังลอดผ่านช่องเขาที่สลับกัน จึงขออนุญาตเรียกช่วงนี้ว่า Magic Moment ครับ เพราะภาพตรงหน้าเป็นทะเลหมอกที่มีเสน่ห์ไม่แพ้ที่อื่นเลยครับ
 
     เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว กิจกรรมไฮไลท์ของบ้านห้วยกุ๊บกั๊บที่ไม่ควรพลาดอย่าง เดินป่าดอยผาสามเหลี่ยม ที่เมื่อ มาถึงบ้านห้วยกุ๊บกั๊บแล้วต้องไปพิชิตให้ได้สักครั้งหนึ่งก่อนกลับ เลยเป็นกิจกรรมฮิตติดชาร์ตสำหรับที่นี่ครับ ซึ่งรอบเดินจะมี ช่วงเช้าเริ่มตั้งแต่ 8 –9 โมง (วันกลับ) และช่วงเย็น 4 –5 โมง (วันเข้าพัก) ครับ โดยจะใช้เวลาเดินทั้งหมด 5 ชั่วโมง เดินทางไป - กลับ 10 กิโลเมตร แต่มีบริการย่นระยะทางโดยรถยนต์ด้วยนะครับ เดินทางไป - กลับ 3 กิโลเมตร 3 ชั่วโมง (เสียค่ารถคนละ 250 บาทรวมไปกลับ) ระยะเวาลาที่ไม่สมเหตุสมผลกับระยะทางนี้ เป็นเพราะเส้นทางค่อนข้างมีความลาดชันและเป็นแนวป่าสน จึงไม่เหมาะอย่างมากถ้าจะมาเดินในช่วงฤดูฝนครับ ดอยผาสามเหลี่ยมเป็นดอยที่สูงที่สุดในอำเภอแม่แตง ซึ่งมีความสูงอยู่ ที่ 1,600 เมตรจากระดับน้ำทะเลครับ และเนื่องจากเป็นภูเขาหรือผาที่มีลักษณะเหมือนสามเหลี่ยม จึงถูกเรียกว่า “ดอยผา สามเหลี่ยม” นั่นเองครับ แน่นอนว่านายแมนต้องไม่พลาดกิจกรรมนี้อย่างแน่นอน แต่ฟ้าฝนดันไม่เป็นใจ เพราะประมาณ 2 วันก่อนที่ผมจะเดินทางมามี ฝนตก ทางเจ้าของโฮมสเตย์เลยแนะนำว่า ไม่ไปเสี่ยงดีกว่า เพราะทางทั้งชันและลื่นมากครับ
 
 
     ดังนั้นการเดินทางของผมจึงจบลงที่การนั่งจิบกาแฟพร้อมชมหมอกในตอนเช้าครับ จากนั้นก็ได้เวลาเก็บสัมภาระ และไปนั่งรอรถที่จะพาลงไปยังลานจอดรถช้าง ยิ้ม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางในครั้งนี้ เมื่อฤดูฝนผ่านพ้นไป ผมไม่พลาดกลับมาพิชิตดอยผาสามเหลี่ยมแน่นอนครับ สัญญาไว้บทความนี้เลยครับว่า จะนำภาพบรรยากาศขณะเดิน และวิวแบบพาโนรามาบนยอดดอยผาสามเหลี่ยมมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกันอย่างแน่นอนครับ การเดินทางคือประสบการณ์ขอให้เพื่อนๆ สนุกกับการเดินทางนะครับ และขอบคุณเพื่อนๆ ทุกท่านที่แวะเข้ามาเป็นเพื่อนร่วม ทางกันในบทความนี้ครับ
 
 
 
 
 
 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้